แรงผลักดันให้มีการพัฒนา E-Commerce
E-Commerce เกิดขึ้นจากความต้องการประสบความสำเร็จของธุรกิจ ซึ่งความ
สำเร็จของธุรกิจไม่ได้ขึ้นอยู่กับการดำเนินงานภายในองค์กรเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้น
อยู่กับปัจจัยอื่นๆ อีกด้วย เช่น สภาพเศรษฐกิจ สังคม คู่แข่งและเทคโนโลยี เป็นต้น
ในที่นี้จึงขอจำแนกแรงผลักดันให้มีการพัฒนา E-Commerce ออกเป็น 2 ประการ คือ
สำเร็จของธุรกิจไม่ได้ขึ้นอยู่กับการดำเนินงานภายในองค์กรเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้น
อยู่กับปัจจัยอื่นๆ อีกด้วย เช่น สภาพเศรษฐกิจ สังคม คู่แข่งและเทคโนโลยี เป็นต้น
ในที่นี้จึงขอจำแนกแรงผลักดันให้มีการพัฒนา E-Commerce ออกเป็น 2 ประการ คือ
1.
การปฏิวัติสู่ยุคดิจิตอล
เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เกิด E-Commerce ดังจะเห็นได้จากการดำเนิน
ชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการสนทนา ติดต่อสื่อสาร หรือการค้น
หาข้อมูลล้วนนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาใช้ทั้งสิ้น เรียกว่า เศรษฐกิจแบบดิจิตอล
ชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการสนทนา ติดต่อสื่อสาร หรือการค้น
หาข้อมูลล้วนนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาใช้ทั้งสิ้น เรียกว่า เศรษฐกิจแบบดิจิตอล
เศรษฐกิจแบบดิจิตอล หมายถึง การทำเศรษฐกิจที่มีพื้นฐาน จากการนำ
เทคโนโลยีดิจิตอลมาใช้งาน ได้แก่ เครือข่ายการติดต่อสื่อสารแบบดิจิตอล เช่น
คอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศอื่น
เทคโนโลยีดิจิตอลมาใช้งาน ได้แก่ เครือข่ายการติดต่อสื่อสารแบบดิจิตอล เช่น
คอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศอื่น
2.
สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ (Business Environment)
หมายถึง ปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจขององค์กร ซึ่งแบ่งออก
เป็น 3 ประการ
เป็น 3 ประการ
1.
แรงผลักดันทางการตลาดและสภาพเศรษฐกิจ (Market and Economic
Pressure) เช่น ความรุนแรงของการแข่งขันในตลาด การรวมกลุ่มทางการค้า หรือ
อำนาจในการต่อรองของลูกค้า
Pressure) เช่น ความรุนแรงของการแข่งขันในตลาด การรวมกลุ่มทางการค้า หรือ
อำนาจในการต่อรองของลูกค้า
2. แรงผลักดันทางสังคม (Societal Pressure) เช่น กฎหมายหรือนโยบาย
ทางรัฐที่ส่งผลต่อธุรกิจ ความรับผิดชอบต่อสังคม จรรยาบรรณทางธุรกิจ
ทางรัฐที่ส่งผลต่อธุรกิจ ความรับผิดชอบต่อสังคม จรรยาบรรณทางธุรกิจ
3. แรงผลักดันทางเทคโนโลยี (Technology
Pressure) เช่น การพัฒนาเทค
โนโลยีใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เทคโนโลยีที่มีอยู่ล้าสมัยเร็วกว่าอายุ
การใช้งานจริง
โนโลยีใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เทคโนโลยีที่มีอยู่ล้าสมัยเร็วกว่าอายุ
การใช้งานจริง
แบบจำลองทางธุรกิจของ E-Commerce
แบบจำลองทางธุรกิจ (Business Model) หมายถึง วิธีการดำเนินธุรกิจที่ช่วยสร้าง
รายได้อันจะทำให้บริษัทสามารถดำรงอยู่ได้ นอกจากนี้ ยังรวมถึงกิจกรรมที่ช่วยสร้าง
มูลค่าเพิ่ม (Value Add) ให้กับสินค้าและบริการด้วย ซึ่ง กิจกรรมเหล่านี้สามารถ
วิเคราะห์ได้จากตัวแบบห่วงโซ่แห่งคุณค่า (Value Chain Model)
รายได้อันจะทำให้บริษัทสามารถดำรงอยู่ได้ นอกจากนี้ ยังรวมถึงกิจกรรมที่ช่วยสร้าง
มูลค่าเพิ่ม (Value Add) ให้กับสินค้าและบริการด้วย ซึ่ง กิจกรรมเหล่านี้สามารถ
วิเคราะห์ได้จากตัวแบบห่วงโซ่แห่งคุณค่า (Value Chain Model)
โครงสร้างของแบบจำลองทางธุรกิจ
1. Value Proposition เป็นหัวใจสำคัญของแบบจำลองทางธุรกิจ
2. Revenue Model
3. Market Opportunity
4. Competitive
Environment
5. Competitive
Advantage
6. Market Strategy
7. Organization
Development
8. Management Team
แบบจำลองทางธุรกิจของ E-Commerce
1. การตลาดขายตรงออนไลน์ (Online Direct Marketing) เป็นแบบจำลองที่
ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยเป็นแบบจำลองที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าผ่าน
ระบบออนไลน์
ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยเป็นแบบจำลองที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าผ่าน
ระบบออนไลน์
2. การประมูลออนไลน์ (Online Auction) เป็นแบบจำลองที่ผู้สนใจเข้าไปยื่น
เสนอราคาประมูล เพื่อซื้อสินค้าจากผู้ขายผ่านระบบออนไลน์
เสนอราคาประมูล เพื่อซื้อสินค้าจากผู้ขายผ่านระบบออนไลน์
3. ระบบการยืนประมูลอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic TenderingSystem) เป็นแบบ
จำลองที่ใช้กับผู้ซื้อที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่ มีมูลค่าการซื้อจำนวนมาก
จำลองที่ใช้กับผู้ซื้อที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่ มีมูลค่าการซื้อจำนวนมาก
4. การตลาดออนไลน์โดยใช้ตัวแทนเพื่อโฆษณาสินค้า (Affiliate Marketing)
เป็นแบบจำลองที่เป็นการทำธุรกิจร่วมกันระหว่างผู้ขายสินค้าและบริษัทตัวแทนรับฝาก
โฆษณา โดยการฝากชื่อลิงค์ของบริษัทผู้ขาย
เป็นแบบจำลองที่เป็นการทำธุรกิจร่วมกันระหว่างผู้ขายสินค้าและบริษัทตัวแทนรับฝาก
โฆษณา โดยการฝากชื่อลิงค์ของบริษัทผู้ขาย
5. การรวมกลุ่มกันซื้อ (Group Purchasing) เป็นแบบจำลองที่ใช้เพื่อเป็นข้อต่อ
รองในการซื้อขายสินค้า โดยการรวมกลุ่มกันซื้อเพื่อให้ได้ส่วนลด
6. การสั่งทำสินค้าและบริการ (Product and Service Customization) เป็นแบบ
จำลองที่อนุญาตให้ลูกค้าสามารถสั่งทำสินค้าและบริการตามที่ต้องการได้ผ่านทาง
เว็บไซต์
รองในการซื้อขายสินค้า โดยการรวมกลุ่มกันซื้อเพื่อให้ได้ส่วนลด
6. การสั่งทำสินค้าและบริการ (Product and Service Customization) เป็นแบบ
จำลองที่อนุญาตให้ลูกค้าสามารถสั่งทำสินค้าและบริการตามที่ต้องการได้ผ่านทาง
เว็บไซต์
7. การสมัครสมาชิก (Membership) เป็นแบบจำลองที่ให้สิทธิพิเศษสำหรับผู้
ที่สมัครเป็นสมาชิก
ที่สมัครเป็นสมาชิก
8. การกำหนดราคาที่ต้องการด้วยตนเอง (Name Your Own Price) เป็นแบบ
จำลองที่ผู้ซื้อสามารถกำหนดราคาสินค้าและบริการตามวงเงินที่ตนเองมีอยู่
จำลองที่ผู้ซื้อสามารถกำหนดราคาสินค้าและบริการตามวงเงินที่ตนเองมีอยู่
9. บล็อกและชุมชนเพื่อการติดต่อสื่อสาร (Communication and Blogging)
เป็นแบบจำลองที่นำเครือข่ายการติดต่อสื่อสารมาใช้ประโยชน์ทางการค้า
เป็นแบบจำลองที่นำเครือข่ายการติดต่อสื่อสารมาใช้ประโยชน์ทางการค้า